วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

๏ สิ้นแล้วสิ้นเงาเนาวรัตน์ ๚ะ๛

...
๏ เปิดฉากรัตนโกสินทร์ลิ้นสองแฉก
ล้วนเรื่องราวร้อยแปลกเริ่มปรากฏ
ฤๅสิ้นแล้วสิ้นสยามอันงามงด
รักเยี่ยงอย่างทรยศอารยะ

๏ ตื่นเถิดบทกวีผู้มีศักดิ์
ทุกถ้อยคำร้อยถักอักขระ
อุดมการณ์ฉาวโฉ่อันโอชะ
ฤๅสัจธรรมสัจจะไม่สะทก

๏ สิ้นแล้วสิ้นศาสตร์ปราชญ์ประหวัด
กาลจึงแน่นขนัดคำโกหก
อยู่มีไปทำไมให้เมืองรก
ตะวันตก-ตะวันออกผีจับยัด

๏ เคยดื่มด่ำบทกวีสุนทรียทิพย์
เหลือเพียงเสียงเงียบกริบข้อจำกัด
เผลอบรรเลงพญาโศกโลกทัศน์
รากปรากฏขดรัดมธุรส

๏ ความอ่อนหวานอ่อนไหวในประจักษ์
มนุษย์เจ้าจงตระหนักความโป้ปด
สูงสุดสู่จริตจักคิดคด
ไม่ต้องมีบริบทใดตอบรับ

๏ แลจักสร้างรัตนโกสินทร์ด้วยลิ้นปราชญ์
ถ้อยคำผรุสวาทอันหยาบหยับ
ไร้ซึ่งแสงเงาวามงามระยับ
เกิดขึ้น-แตกดับกับฉันทลักษณ์ ๚ะ๛


ว ฒ น 22 พ.ย. 51
http://www.prachatai.com/webboard/wbtopic.php?id=747933
สวัสดีทุกท่านครับ ....... ค่ำคืนนี้ขอนำกลอนมาฝากวางไว้อีกสักบท เผื่อไว้เป็นทางเลือกสำหรับมิตรรักนักกลอนผู้ไม่นอนเปล่า

กลบทนี้เรียกว่า นายโรงลืมกรับ ครับ
ข้อบังคับคือทุกบรรทัดจะส่งสัมผัสนอก ด้วย คำลหุ (คำตาย-เสียงสั้น)เท่านั้นนอกนั้นก็คือกลอนสุภาพธรรมดา

ขอเล่าย้อนความตามท้องเรื่องถึงที่มาของชื่อกลบทนายโรงลืมกลับสักนิดนะครับ

เขาว่ากันว่า......
ครั้งเมื่องานวางโกลนเรือ เอนกชาติภุชงค์ เสร็จจะต้องมีการลองน้ำ กรมพระราชวังบวรฯ โปรดที่จะเสด็จล่องเรือจากท่าวาสุกรีไปขึ้นที่วังหน้า

ด้วยความฉุกละหุก นายโรงผู้จัดเตรียมอุปกรณ์ ลืมนำ กรับ ลงเรือให้อาลักษณ์ขับเห่ พอเรือออกจากท่าอาลักษณ์ก็เริ่มเห่ แต่หา กรับ ไม่เจอ จึงจำต้องว่ากลอนท้ายหัก จะได้ไม่ต้องลง กรับ รับเสียง

กรมพระราชวังบวรฯเห็นเป็นการแปลกเลยถามอาลักษณ์ว่า ด้นกลอนกลอะไร อาลักษณ์ จึงตอบไปว่า นี่เป็นกลบท นายโรงลืมกรับ ........

ไม่มีความคิดเห็น: