วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551

๏ พระมหาชนัก ๚ะ๛

...
หลังจากได้อ่านคำโคลงตอบโต้กันระหว่างไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินหัวก้าวหน้า
กับเจ้าผู้ครองนครแว่นแคว้นดึกดำบรรพ์ที่ลุล่วงมาหลายสมัย
อ่านบ้านอ่านเมืองอื่นยังนึกโชคดีแห่งบ้านเมืองเรา
จึงครึ้มใจขึ้นมาบ้างว่า .....

หากสยามยังอยู่ยั้ง.........ยุยง



ประทงประเทศล่มทั้ง.......รัฏฐา
ยามย่ามปวงปรัชญา........แยบย้อม
ยังควรสถาปนา..............นับเนิ่น
เถิดราษฎร์เถิดนอบน้อม..แนบเท้าโทสา.

สำเหนียกในโลกสิ้น........สำเนา
หลวงยกกระบัตรเบา........บากหน้า
แก่กะโหลกกะลาเยา-......วเรศรุ่น
ไพร่จวบจนขี้ข้า..............ขากสิ้นสงสัย

แหละหลักแหละแหล่งนั้น..อำนาจ นี่เอย
มือนอกระบบระบาด..........ระบอบลิ้น
ร้องกู้ชาติ!กู้ชาติ..............ชาติแม่ มันฤๅ
ล้วนจิตวิปริตสิ้น...............สุดแท้แลสลอน

ประชาราษฎร์แซ่ซ้อง........สรรเสริญ
ในพระบารเมิน.................มากหน้า
ทั่วแดนแว่นแคว้นเยิน.......ยศเยี่ยม
โอษฐ์หุบอ้าหุบอ้า............หุบอ้าอาโหย

หลังเปี่ยมปิติปลื้ม.............ปากฉีก
โอลิกาชีฉีก.....................ปากกว้าง
ไม้ซุงงัดไม่ซีก.................ปากสว่าง
สาเหตุจักหักร้าง...............ปากแร้งแรงเผยอ

รวยลือรวยเลิศล้ำ..............เหลือหลาย
อวยเล่ห์เพทุบาย...............อุบัติเงื้อม
โจษจันจากบ่าวนาย...........แน่นขนัด
ประเทศมิอาจเอื้อม............อื่นอ้างเอาใด

โอยดิกเตเตอร์ชิป-.............หายโอย
กอบรัฐธรรมนูญโกย...........กอบไว้
เสรีอย่าหวังโดย................ใดดอก
ที่สุดแลใคร่ไคล้................ไม่ให้ใครหือ

รักแนบแอบอ้างชื่อ.............ชนแหล
ดันโผล่มาดวงแด................ดื่นดั้น
ทวยราษฎร์ใช่จักแคร์..........ช่างราษฎร์
ทวยแรดแลจักรั้น...............สุดแล้วสิเน่หา

หวังใดจักเกิดกล้ำ...............กลืนกาล
ฉาวโฉ่คำวิจารณ์.................โจ่งแจ้ง
บ่ายเบี่ยงเยี่ยงนี้นาน............นับเนื่อง
นี่สุขไยต้องแสร้ง................แสกเศร้าโศกศัลย์

แลอารยประเทศท้น.............นินทา
ยังนิยายอัตตา....................แต่งแต้ม
สมบูรณาญา-.....................สิทธิแรด
ฤๅโลกอันอ้อมแอ้ม.............อ่อนด้อยเดียงสา

หากแต่อาเพศเพี้ยง..............พอใจ
นิตินัยพฤตินัย.....................หน่อมแน้ม
ปิดปากเร่งปิดไป..................กี่ปาก
เกลื่อนดอกพิกุลแย้ม............ขยักไว้ไม่หวาม

แลโชกโชนชาติชั้น...............โฉงเฉง
เลือกเล่นเองเออเอง..............อื่นอ้าง
เสรีภาพวังเวง.......................เวิ้งวาด
สาบเสื่อมอิสระสร้าง..............เสียดแสร้งสังสาร

ชาวเราเริงรื่นแล้ว...................ฤดูกาล
สูงสุดสู่สามานย์....................เยิ่นเย้อ
ขาวดำต่ำสัณฐาน...................ทวยเทพ นั่นแล
ที่สุดดิกเตเตอร์.....................ต่างฉ้อสมานฉันท์

……โคลงสี่สุภาพบทข้างบนอาจขาดความครบถ้วนกระบวนความบางประการไปเพราะใช้ความรู้สึกเขียน…เขียนในขณะอวัยวะบางส่วนไร้ความรู้สึก ( แฮ่ม )
ระหว่าง ๑ความคิดเก่า ๑ความคิดใหม่ และ ๑ความคิดสั้น
แว่นแคว้นนี้ไม่ว่าจะวัดสายตาออกมาว่าตาสั้น ตายาว หรือตาต่ำ
ต่างก็แลเห็นความระยำยับถ้วนทั่วทุกตาดำ
ว่ากันว่าหลังเพลงยาวพยากรณ์ปรากฏออกมา
กรุงศรีอยุธยาก็ฉิบหายสมคำพยากรณ์ทุกประการไม่ผิดเพี้ยน
ถึงในช่องว่างจะยังมีช่องโหว่ก็ตามแต่ ..
หัวใจราษฎรเพศชายวัยฉกรรจ์แกร่งเป็นม้าศึกอย่างผมก็ไม่กล้าพอที่จะเสพเพลงยาวพยากรณ์แห่งกรุงอื่น
ผมไม่ขยะแขยงอดีต เพียงขยักขย่อนอนาคตว่ากันว่าเค้กแต่งงานคือของหวานที่ทำลายสุขภาพมากที่สุด
พึงรฦกไว้เสมอว่า .....
เมียดีเป็นที่ชื่นบาน เมียสามานย์ก็บานบุรี
ขณะที่ความงียบเหงากองอยู่ระหว่างโต๊ะอาหาร
ในขณะที่เรื่องปู่เย็นนำมาซึ่งโศกสลดสาหัสแห่งมิตรสหายผู้นั่งจมกองทุกขตรงเบื้องหน้า
จำได้ว่างานศพปู่มันเอง ...
ความเศร้าสะกดรู้สึกมันไว้แถวก้นซอยทองหล่อทั้งค่ำคืน
ก่อนจากกันคำปรารภท้ายผับดังขึ้นมาว่า...
ไม่แปลกหรอกหากเลือดใครจะเป็นสีน้ำเงิน
ขนาดฉี่กูยังเป็นสีม่วงเลย

ว ฒ น 14 ต.ค.51
http://www.prachatai.com/webboard/wbtopic.php?id=730672

ไม่มีความคิดเห็น: